top of page

เซ็บเดิร์ม - Seborrheric dermatitis

**โรคผิวหนังเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis)** เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ ผิวลอก เป็นขุย และรอยแดงในบริเวณที่มีต่อมไขมัน เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า และหลังใบหู สาเหตุหลักมาจากเชื้อรามาลาสซีเซีย การทำงานผิดปกติของต่อมไขมัน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความเครียดและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การรักษาประกอบด้วยการใช้ยาทาภายนอก ยาสระผมต้านเชื้อรา และการดูแลผิวที่เหมาะสมเพื่อควบคุมอาการ

**โรคผิวหนังเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis): อาการ สาเหตุ และการรักษา**


**โรคเซ็บเดิร์มคืออะไร?**


โรคผิวหนังเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ทำให้เกิดการอักเสบ ผิวลอก เป็นขุย และรอยแดงบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า หลังใบหู ลำตัว และหน้าอก โรคนี้มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ แต่สามารถพบได้ในทารกเช่นกัน ซึ่งในทารกจะเรียกว่า "คราบหัวน้ำนม" (Cradle Cap) โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ และมักเป็นๆ หายๆ ทำให้ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกไม่สบายตัวและส่งผลต่อความมั่นใจ


**อาการของโรคเซ็บเดิร์ม**


อาการของเซ็บเดิร์มสามารถแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่สิ่งที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

1. **รอยแดง**: บริเวณที่มีการอักเสบมักจะเกิดเป็นรอยแดงโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความมัน เช่น ใบหน้าและหนังศีรษะ

2. **ผิวลอกและเป็นขุย**: ผิวหนังจะลอกเป็นขุยสีขาวหรือเหลือง ซึ่งมักจะพบได้มากในหนังศีรษะ (คล้ายรังแค) และบริเวณที่มีความมัน

3. **อาการคันหรือแสบร้อน**: ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกคันหรือแสบร้อนบริเวณที่มีอาการ

4. **สะเก็ดหนา**: ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น อาจเกิดสะเก็ดหนาเป็นสีขาวหรือเหลืองบนหนังศีรษะหรือใบหน้า


**สาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม**


โรคเซ็บเดิร์มมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรค ซึ่งรวมถึง:

1. **การเจริญเติบโตของเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia)**: เชื้อราที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังมนุษย์ตามปกติสามารถเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีความมันสูง เมื่อเชื้อราเจริญเติบโตมากเกินไป จะกระตุ้นการอักเสบและทำให้ผิวลอกเป็นขุย

2. **การทำงานของต่อมไขมัน**: เซ็บเดิร์มมักพบในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น หนังศีรษะและใบหน้า ต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนัง

3. **ภูมิคุ้มกัน**: ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอหรือผิดปกติ อาจมีส่วนในการเกิดเซ็บเดิร์ม ทำให้ร่างกายตอบสนองมากเกินไปต่อเชื้อราหรือสารต่างๆ บนผิว

4. **พันธุกรรม**: หากมีคนในครอบครัวที่เคยมีปัญหาผิวหนังหรือเป็นโรคเซ็บเดิร์ม ความเสี่ยงที่คุณจะเป็นโรคนี้ก็จะเพิ่มขึ้น

5. **สภาพอากาศ**:อากาศร้อนมากๆ หรือความเครียดสามารถทำให้อาการของโรคเซ็บเดิร์มแย่ลงได้


**ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อาการกำเริบ**


ปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้อาการของโรคเซ็บเดิร์มกำเริบหรือแย่ลงได้ เช่น:

1. **ความเครียด**: ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ และทำให้อาการรุนแรงขึ้นในบางคน

2. **การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ**: สภาพอากาศที่ร้อน ทำให้อาการรุนแรงขึ้น

3. **ฮอร์โมน**: การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ อาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้

4. **การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและผิวหน้า**: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่ระคายเคืองอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดเซ็บเดิร์ม


**การวินิจฉัยโรคเซ็บเดิร์ม**


แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเซ็บเดิร์มได้จากการตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของผิวหนัง เช่น รอยแดงและสะเก็ดในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเก็บชิ้นเนื้อผิวหนังเพื่อแยกแยะกับโรคผิวหนังอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผิวหนังอักเสบจากสาเหตุอื่น


**การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม**


การรักษาเซ็บเดิร์มมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ โดยอาจใช้วิธีการรักษาต่อไปนี้:

1. **ยาทาภายนอก**: ยาที่ใช้รักษาเซ็บเดิร์มมักจะเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมเชื้อรา เช่น

- **ครีมสเตียรอยด์ (Corticosteroid creams)**: ยาทาที่ช่วยลดการอักเสบ ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เนื่องจากการใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวบางลง

- **ยาต้านเชื้อรา (Antifungal creams)**: ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค

- **ยาสระผมที่มีสารต้านเชื้อรา**: เช่น แชมพูที่มีสารคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งใช้สำหรับรักษาอาการบนหนังศีรษะ

2. **การดูแลผิวประจำวัน**: การรักษาความสะอาดของผิวหนังเป็นสิ่งสำคัญ ควรล้างหน้าและสระผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่ทำให้ผิวแห้ง

3. **แสงอัลตราไวโอเลต (UV light therapy)**: การใช้แสง UV อาจช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลของเชื้อราบนผิวหนัง แต่อาจต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

4. **ยากิน**: ในกรณีที่อาการเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยากิน เช่น ยาต้านเชื้อรา หรือยาที่ปรับระบบภูมิคุ้มกัน


**การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการกำเริบ**


แม้ว่าโรคเซ็บเดิร์มจะเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันไม่ให้อาการกำเริบได้:

1. **รักษาความสะอาดของผิวหนังและหนังศีรษะ**: ควรล้างหน้าและสระผมเป็นประจำโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและไม่ระคายเคือง

2. **หลีกเลี่ยงการขูดหรือเกาผิวหนัง**: การเกาหรือขูดผิวหนังที่มีอาการอาจทำให้อาการแย่ลงและเกิดการติดเชื้อเพิ่มเติม

3. **ลดความเครียด**: การทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การออกกำลังกาย หรือการฝึกหายใจ ช่วยควบคุมอาการของโรคได้

4. **หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง**: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อนโยน และไม่มีสารที่ทำให้ผิวระคายเคือง เช่น น้ำหอม และแอลกอฮอล์

5. **รักษาสมดุลของสุขภาพทั่วไป**: การนอนหลับเพียงพอและหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อน จะช่วยลดการเกิดได้

รูปโรค

bottom of page